วิวัฒนาการทางภาษาของสังคมไทยสมัยต่าง ๆ
อาณาจักรก่อนและสมัยสุโขทัย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนและมหาสมุทรอินเดียซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทางของแหล่งอารยธรรมของโลก
คือ อารยธรรมอินเดียศูนย์กลางของศาสนา และจีนซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและติดต่อค้าขายถึงยุโรป จนได้ชื่อเส้นทางการค้าว่า "
เส้นทางสายไหม " ดังกล่าวแล้วว่า
วัฒนธรรมของจีนและอินเดียมีอิทธิพลต่อชุมชนไทยและชวา มลายู มอญ และพม่า
หลักฐานโบราณคดีแสดงให้เห็นว่ามีชุมชนตั้งแต่สมัยหิน
ชุมชนเหล่านี้พัฒนาความเป็นอยู่และเจริญอย่างต่อเนื่อง ประกอบอาชีพเกษตรกรรมจึงตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง
จากตำนานมูลศาสนา ตำนานสิงหนวัติกุมาร จามเทวีวงศ์ ฯลฯ
ตำนานเหล่านี้เล่าเรื่องการสร้างบ้านเมืองของชุมชนยุคโบราณ
ต่อมามีการรวมเป็นกลุ่มเมืองโดยผู้มีอำนาจเป็นหัวหน้า กลุ่มเมืองกระจายอยู่ทั่วไป
แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชายฝั่งทะเลภาคใต้
มีการติดต่อกันทางวัฒนธรรมและการค้าขายระหว่างกันอย่างต่อเนื่องตลอดมา
เมื่อพระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอาณาจักรทางตอนใต้สุโขทัยและมีกำลังขึ้นมาก็ยึดครองสุโขทัย
มีศูนย์กลางอำนาจที่กรุงศรีอยุธยา และสืบทอดความเจริญมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 400 ปี
ระบบการปกครองสังคมสมัยอยุธยา กษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิต เจ้าแผ่นดิน
ชนชั้นปกครองหรือมูลนายประกอบด้วย เจ้านายและขุนนาง ชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วย
ไพร่และทาส มีพระสงฆ์เป็นผู้เชื่อมระหว่างชนชั้นในสังคม
การควบคุมกำลังคนในสมัยอยุธยา มีระบบไพร่ คือ การจัดสรรแรงงานในหมู่ชนชั้นปกครอง
พร้อมทั้งมีระบบศักดินากำหนดฐานะ สิทธิและหน้าที่ สมัยอยุธยา
ใช้ระบบอุปถัมภ์ระหว่างมูลนาย และไพร่ มูลนาย สามารถออกคำสั่ง บังคับบัญชา ให้ความคุ้มครอง
ช่วยเหลือ ไพร่ต้องใช้แรงงาน ต้องเคารพ เชื่อฟัง มีความจงรักภักดีต่อมูลนาย
ระบบความเชื่อศาสนา
ก็คงเป็นแบบเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่การปกครองและการจัดระเบียบสังคมในสมัยอยุธยา
ได้รับอิทธิพลจากขอม กษัตริย์เป็นมีฐานะเป็นแบบเทวราชา หรือสมมุติเทพ หลังจากประเทศไทยได้เสียทีแก่พม่า อยุธยาล่มสลาย พระเจ้าตากสินกอบกู้เอกราช ตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี แต่อยู่ได้ไม่นาน เจ้าพระยาจักรีก็ปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์ “พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยา บ้านบางกอก เรียกว่า กรุงเทพทวารวดีฯ เป็นอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325 ระบบการปกครองและความเชื่อก็คงสืบสานแบบสุโขทัยและอยุธยา ต่อมาเมื่อชาวตะวันตก ได้นำศาสนาคริสต์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเผยแผ่นับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลที่ 6 ทำให้ไทยต้องปรับตัวเพื่อรับการเข้ามาของโลกตะวันตก มีคนแบ่งยุคการรับความเจริญแบบตะวันตกของชาวไทย ว่า รัชกาลที่ 3 เป็นแบบตั้งหลัก รัชกาลที่ 4 เป็นแบบเปลี่ยนแปลงขอบนอก รัชกาลที่ 5 เป็นแบบการเปลี่ยนแปลงสถาบันหลัก และรัชกาลที่ 6 เป็นแบบการหาความสมดุล โดยสร้างชาตินิยมขึ้นมา ตลอด 4 รัชสมัย(2467-2469) ร่วม 100 ปี ประเทศไทยได้รับเอาความเจริญทางการศึกษา การแพทย์ การสาธารณสุข แม้การดำเนินชีวิตก็พัฒนาเพื่อเป็นแบบสมัยใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ.2475 เกิดเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงมีการปฏิวัติวัฒนธรรมทางการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ การดำรงชีพเริ่มเลียนแบบฝรั่งมากขึ้น เปลี่ยนจากสังคมครอบครัว เป็นสังคมธุรกิจ ศาสนสถานต่างๆ ถูกปล่อยปละละเลย ปล่อยให้วัดโบราณกลายเป็นมรดกในสังคมชาติ ภาษาแบบฝรั่งเข้ามาแทนภาษาบาลีและสันสกฤต ศิลปะแบบตะวันตกค่อยเป็นที่นิยมยกย่อง แทนรูปแบบวัฒนธรรมและค่านิยมของไทยดั้งเดิม
ถ้าจะพิจารณาด้วยเหตุผล เปิดใจกว้างยอมรับกระแสการเปลี่ยนแปลงแบบสมัยใหม่ จะพบว่า เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปฏิกิริยาสนองตอบและการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาใช้ของชาวพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมตะวันตก หรือประเทศเอกราชอย่างประเทศไทย จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ
การปรับปรุงจารีต(Neotraditionalism)
คือ
การตอบสนองที่พยายามย้อนกลับไปหาความเชื่อหรือสถาบันดั้งเดิมของตน โดยการชำระ
ปฏิรูปความเชื่อหรือสถาบันนั้นๆ
ให้มีลักษณะยืดหยุ่นเหมาะสมกับภาวะแวดล้อมอย่างใหม่
เพื่อสามารถนำออกมาต่อต้านแนวความคิดของวัฒนธรรมตะวันตกบางประการได้ เช่น
การปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศไทยโดยพระวชิรญาณภิกษุ(ต่อลาผนวชเป็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4) ในสมัยรัชกาลที่ 3 และการปฏิรูปศาสนาอิสลามในประเทศอินโดนีเซีย
เป็นต้น
หากจะนับประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีชาวไทยก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า
4,000 ปี
และหากจะกำหนดเอาสมัยที่ตั้งหลักแหล่งมั่นคงจากสมัยสุโขทัยมาก็มีอายุไม่ต่ำกว่า
700 ปี นับได้ว่า ชาวไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่น้อย
แม้ว่าชนชาติไทยจะมิใช่ชาติมหาอำนาจอย่างจีน อินเดีย อังกฤษ หรืออเมริกา
แต่คนไทยและสังคมไทยก็ไม่ได้ถูกทำลายอย่างหมดรูป อาจถูกทำให้อ่อนตัวลงบ้าง
ระบบค่านิยมอาจจะได้รับอิทธิพลจากจีน อินเดีย และจากโลกตะวันตก
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นแบบอินเดีย แบบจีน หรือแบบตะวันตกทั้งหมด
ลักษณะเดิมของสังคมไทยเก่ายังมีปรากฏอยู่ ชาวไทยยังคงรักษาเอกลักษณ์
ความเชื่อศาสนา วัฒนธรรมและจารีตประเพณีเป็นของตนเองไว้ได้ อาจจะเป็นเพราะว่า
นิสัยคนไทยปรับตัวเก่ง จึงประยุกต์เอาศาสนา ภาษา
ระบบคิดที่ดีของชาติเหล่านั้นมาใช้ ยอมรับวัฒนธรรมอื่น ในแบบ การปรับปรุงจารีต
ศาสนาพุทธจากอินเดียก็เป็นพุทธศาสนาแบบไทย เป็นสังคมสมัยใหม่แบบไทย เรียกว่า “สังคมเก่าแบบใหม่” (modernpatrimonialism)
ระบอบการปกครองก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ
ไม่เหมือนต้นฉบับประเทศประชาธิปไตยใดๆในโลก ทั้งนี้ เพราะชาวไทย
ย่อมมีหลักคิดที่เรียกว่า โลกทัศน์ หรือ ชีวทัศน์ ที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ
ทำให้ประเทศไทยรักษาเอกราช รอดพ้นจากการยึดครองของนักล่าอาณานิคม
แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2539 ชาวไทยบอบช้ำจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
เป็นหนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แทบขายประเทศแก่ IMF แต่ด้วยทุนทางสังคมระดับพื้นฐานเข้มแข็งในชนบท
และด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเสนอแนะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อาศัยหลักปฏิบัติตามหลักทางสายกลางของพระพุทธศาสนา เป็นมาตรการสู้ภัยเศรษฐกิจ
และด้วยการสนองงานอย่างจริงจังของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประเทศไทยก็หลุดพ้นจากภาวะล้มละลาย
ถึงแม้จะมีความขัดแย้งทางความคิดและสังคมอยู่บ้าง แต่ทุกฝ่ายก็หันหน้าหาทางแก้ไข
ด้วยวิธีสมานฉันท์ และสันติวิธี น่าที่จะศึกษาอย่างยิ่งว่า
ระบบคิดของชาวไทยเป็นอย่างไร
เพราะระบบคิดหรือวิธีคิดเป็นตัวบ่งชี้วุฒิภาวะทางปัญญาของชนชาตินั่นเอง
2 ความคิดเห็น:
ความรู้ไม่มีขีดจำกันคะ....อ่านกันทุกๆวันนะ
มือใหม่หัดเขียนจร้า
แสดงความคิดเห็น