สวัสดีครับ

สวัสดีครับ
ยินดีต้อนรับสู่...บล็อกรักษ์ภาษาไทย

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปิดเทอมทั้งที....ทำอะไรดี ?

ปิดเทอมทั้งที จะมัวขลุกกันอยู่แต่ในบ้านทำไม หนังสือก็ไม่ต้องอ่าน การบ้านก็ไม่ต้องทำออกไปหากำไรให้กับชีวิต ช่วงวันหยุดกันดีกว่าค่า และถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน "KNOCK KNOCK" ว่าไว้ว่า "อย่าคิดมากน่า! ข้างนอกมีอะไรๆ รอเราอยู่เพียบ"
1. เที่ยวทะเล..ฮาเฮ ถ้าเปิดเทอมหน้าร้อน ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปทะเลนะจ๊ะ หอบชุดว่ายน้ำเก๋ๆ บิกินี่ตัวเก่ง ไปเดินริมหาด เล่นน้ำทะเลใสๆ ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไปอาบแอดริมชายหาดแถวๆ หมู่เกาะพีพี ก็เก๋ไม่เบา.. หรือจะไปดำน้ำ ดูปะการังที่หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ก็น่าสนใจดีนะคะ.. ว่าแล้ว ก็แพ็คกระเป๋า ออกเดินทางกันเล้ยยยย 
2. ตะลอนทัวร์กรุงเทพฯ ไม่อยากไปเที่ยวไหนไกลๆ กลัวเหนื่อย กลัวเปลือง ห่วงบ้าน ห่วงแฟน ไม่เป็นไร เที่ยวในกรุงเทพฯ นี่แหละ ดีที่สุด ไปเลย จะเดินห้าง ตากแอร์ เข้าวัดไหว้พระ แวะช้อปของร้านมือสอง ชมพิพิธภัณฑ์ซาบซึ้งศิลปะ สูดอากาศตามสวนสาธารณะ นั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายรูปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ลองลิสต์รายชื่อสถานที่ ที่ยังไม่ได้ไปให้ครบ แล้วไปลุยกันเลย WebSite ข้อมูลท่องเที่ยวกรุงเทพฯ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย http://203.155.220.230/Tourist.asp http://www.bangkoktourist.com/  
3. ตะเวนกินของอร่อย วิธีพักผ่อนง่ายๆ ฉบับคลายเครียดช่วงปิดเทอม รวมก๊วนเพื่อนสนิทให้ครบ แล้วพากันไปกิน กิน และกิน ที่ไหนว่าดี ร้านไหนเจ๋ง ไล่เก็บให้หมด ทั้งของหวาน ของคาว ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เค้ก ไอศกรีม ฝรั่ง ไทย จีน อย่าให้พลาด.. การได้กินของอร่อยๆ นี่ล่ะสุขที่สุดแล้ว
 4. ขี่จักรยาน การออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานนี่ล่ะ .. ใช่เล้ยย สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ สดชื่น แจ่มใส จะเป็นตอนเช้าอากาศดีๆ รับวันใหม่ หรือจะเป็นตอนเย็น แดดร่มลมตก ดูพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่เลวน๊า ขี่แบบออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ หรือขี่แบบท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ดูบ้านดูเมืองรอบเกาะอยุธยา 
5. ออกค่าย ถ้าเบื่อการท่องเที่ยวที่หรูหรา ฟู่ฟ่า ลองชวนเพื่อนไปออกค่าย ทำกิจกรรมต่างจังหวัดกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโครงการออกค่ายของพี่ๆ มหาวิทยาลัย เช่น โครงการออกค่ายกับกลุ่มองค์กร NGO ก็มีที่น่าสนใจเยอะแยะเลย ขวนขวายกันสักนิด รับรองว่าปิดเทอมนี้ได้เพื่อนใหม่กลับมาเพียบ เว็บไซต์ที่น่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากออกค่ายอาสาเพื่อสังคมก็มี ลองเข้าไปเช็กข่าวสารกันได้ ว่ามีค่ายอะไรที่เราสนใจบ้าง
 6. โดดน้ำ เล่นน้ำตก ถ้าอยู่บ้านร้อนนัก ก็ไปหาที่ดับร้อนกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวทะเล ไปเที่ยวน้ำตกดูบ้าง อย่างน้ำตกทีลอซู จ.ตาก คนจริงที่รักการท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลย เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำไหลแรงตลอดปีออกแนวผจญภัยหน่อยๆ จะนั่งรถ หรือล่องแพเข้าไปก็ได้ เห็นน้ำใสๆ นั่งหย่อนเท้าเล่น หรือกระโจนลงน้ำคลายร้อนกันก็มันสะใจไปเล้ย
 7. ล่องแก่ง ถ้าชีวิตรักความท้าทาย อย่ามัวแต่กล้าๆ กลัวๆ ปิดเทอมทั้งทีไปล่องแก่งกันดีกว่า ได้ล่องเรือ ผ่านแก่งหิน สายน้ำเชี่ยว ชีวิตมีรสชาติดีออก เส้นทางที่น่าสนใจก็มี ล่องแม่กลอง ทีลอซู ล่องแก่งเมืองกาญน์ ล่องออบหลวง จ.เชียงใหม่ แต่แนะนำว่า ควรศึกษาช่วงเวลาและการพายเรือ อย่างปลอดภัยก่อน ..เมื่อพร้อมแล้ว ก็ ลุ้ยยยย... 
8. Backpack.. แบกเป้แนวขาลุย ปิดเทอมนี้ แบกเป้คู่ใจพร้อมหนีบเพื่อนสัก 3-4 คน ไปเที่ยวสไตล์ติดดิน เอามันส์กันดีกว่า มีทุนหน่อย ก็ไปลุยที่ฮิปๆ อย่างทิเบต ญี่ปุ่น จีน หรือไม่ก็ไปภูฎานนั่นเล้ยย (ที่ความฮิตยังไม่สร่างซา) ส่วนใครนิยมท่องเที่ยวไทยก็ไม่ควรพลาด กิจกรรมเดินป่า ปีเขา พายเรือยแคนนู ขี่จักรยานเสือภูเขา เที่ยวกันสไตล์คนเอ็กซ์ตรีมสุดเหวี่ยงกันไปเลย 
 9. ท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism) อย่ามัวทำตัวเชย ไม่เคยไปเที่ยวชม ชิม ซื้อผลิตภัณฑ์สวนเกษตรล่ะ ลองไปสัมผัสดู ได้ทั้งความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรม และการประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบรู้ลึก รู้จริง จะชมสวนกาแฟ ดูการผลิต ชิมกาแฟสด หรือจะไปนั่งล้อเกวียน ชมการปลูกผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เก็บผลผลิตกันที่ศูนย์วิจัยพืชสวน จ. แพร่ ก็สนุกไม่แพ้กัน ลองหาข้อมูล แล้วไปเที่ยวกัน รับรองว่า ได้เที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านแน่.. แนะนำเว็บไซต์น่าสนใจ เกี่ยวกับการเที่ยวแบบนี้ Home Stay http://agrotourism.doae.go.th/ http://www.homestayfanclub.com/ http://www.thaitambon.com/ http://www.land.arch.chula.ac.th/ 
10. ดูดาว ..เอาบรรยากาศ ไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งที ไม่ว่าจะภูเขาหรือทะเล ควรหาโอกาสแหงนมองฟ้า ดูดาวยามค่ำคืน แล้วจะรู้ว่าบรรยากาศแบบนี้ ไม่ได้หาดูง่ายๆ ในกรุงเทพฯ เลือกวันที่ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ ฝนไม่ตก ดูดาวอยู่ริมหาด หรือดื่มด่ำบรรยากาศดาวเต็มฟ้า อยู่บนภูเขาสูงกับเพื่อนสนิท หรือคนรู้ใจ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ 
                                                                 
                                       ที่มา: นิตยสาร "KNOCK KNOCK"

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประโยค


ประโยค

 

ประโยค คือ ถ้อยคำที่เรียงกันเป็นระเบียบสมบูรณ์ ประกอบด้วย

ภาคประธาน และภาคแสดง แต่ละภาคจะมีส่วนขยายหรือไม่ก็ได้

ประโยค แบ่งเป็นรูปประโยค และชนิดประโยค

รูปประโยค มี ๕ รูป
๑. ประโยคกรรตุ ( อ่านว่า กัด - ตุ )
๒. ประโยคกรรม
๓. ประโยคกริยา
๔. ประโยคการิต
๕. ประโยคกริยาสภาวมาลา

ความหมายของประโยค
          ประโยค เกิดจากคำหลายๆคำ หรือวลีที่นำมาเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบให้แต่ละคำมีความสัมพันธ์กัน มีใจความสมบูรณ์ แสดงให้รู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่น สมัครไปโรงเรียน ตำรวจจับคนร้าย เป็นต้น

ส่วนประกอบของประโยค
          ประโยคหนึ่ง ๆ จะต้องมีภาคประธานและภาคแสดงเป็นหลัก และอาจมีคำขยายส่วนต่าง ๆ ได้
1. ภาคประธาน
ภาคประธานในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ ผู้แสดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประโยค ภาคประธานนี้ อาจมีบทขยายซึ่งเป็นคำหรือกลุ่มคำมาประกอบ เพื่อทำให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น
2. ภาคแสดง
ภาคแสดงในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ประกอบไปด้วยบทกริยา บทกรรมและส่วนเติมเต็ม บทกรรมทำหน้าที่เป็นตัวกระทำหรือตัวแสดงของประธาน ส่วนบทกรรมทำหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทำ และส่วนเติมเต็มทำหน้าที่เสริมใจความของประโยคให้สมบูรณ์ คือทำหน้าที่คล้ายบทกรรม แต่ไม่ใช้กรรม เพราะมิได้ถูกกระทำ


ชนิดของประโยค
          ประโยคในภาษาไทยแบ่งเป็น 3 ชนิด ตามโครงสร้างการสื่อสารดังนี้
1. ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีข้อความหรือใจความเดียว ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอกรรถประโยค เป็นประโยคที่มีภาคประโยคเพียงบทเดียว และมีภาคแสดงหรือกริยาสำคัญเพียงบทเดียว หากภาคประธานและภาคแสดงเพิ่มบทขยายเข้าไป ประโยคความเดียวนั้นก็จะเป็นประโยคความเดียวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
เช่น ฉันไปซื้อของที่ตลาดยิ่งเจริญ
หมายเหตุ:สังเกตง่ายๆ ประโยคความเดียวจะมี "คำกริยา เพียง 1 ตัวในประโยค เท่านั้น"

2. ประโยคความรวม
ประโยคความรวม คือ ประโยคที่รวมเอาโครงสร้างประโยคความเดียวตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปเข้าไว้ในประโยคเดียวกัน โดยมีคำเชื่อมหรือสันธานทำหน้าที่เชื่อมประโยคเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ประโยคความรวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อเนกกรรถประโยค ประโยคความรวมแบ่งใจความออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
          2.1 ประโยคที่มีความคล้อยตามกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบ ด้วยประโยคเล็กตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไป มีเนื้อความคล้อยตามกันในแง่ของความเป็นอยู่ เวลา และการกระทำ
ตัวอย่าง
ทรัพย์ และ สินเป็นลูกชายของพ่อค้าร้านสรรพพาณิชย์
ทั้ง ทรัพย์ และ สินเป็นนักเรียนโรงเรียนอาทรพิทยาคม
ทรัพย์เรียนจบโรงเรียนมัธยม แล้ว ก็ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา
พอ สินเรียนจบโรงเรียนมัธยม แล้ว ก็ มาช่วยพ่อค้าขาย
สันธานที่ใช้ใน 4 ประโยค ได้แก่ และ, ทั้ง และ, แล้วก็, พอ แล้วก็
หมายเหตุ : คำ แล้ว เป็นคำช่วยกริยา มิใช่สันธานโดยตรง

          2.2 ประโยคที่มีความขัดแย้งกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค มีเนื้อความที่แย้งกันหรือแตกต่างกันในการกระทำ หรือผลที่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
พี่ตีฆ้อง แต่ น้องตีตะโพน
ฉันเตือนเขาแล้ว แต่ เขาไม่เชื่อ

          2.3 ประโยคที่มีความให้เลือก ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยคและกำหนดให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่าง
ไปบอกนายกิจ หรือ นายก้องให้มานี่คนหนึ่ง
คุณชอบดนตรีไทย หรือ ดนตรีสากล

          2.4 ประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค ประโยคแรกเป็นเหตุประโยคหลังเป็นผล
ตัวอย่าง
เขามีความเพียรมาก เพราะฉะนั้น เขา จึง ประสบความสำเร็จ
คุณสุดาไม่อิจฉาใคร เธอ จึง มีความสุขเสมอ

ข้อสังเกต
สันธานเป็นคำเชื่อมที่จ้ำเป็นต้องมีประโยคความรวม และจะต้องใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อความในประโยค ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สันธานเป็นเครื่องกำหนดหรือชี้บ่งว่าประโยคนั้นมีใจความแบบใด
สันธานบางคำประกอบด้วยคำสองคำ หรือสามคำเรียงอยู่ห่างกัน เช่น ฉะนั้น จึง, ทั้ง และ, แต่ ก็ สันธานชนิดนี้เรียกว่า สันธานคาบมักจะมีคำอื่นมาคั่นกลางอยู่จึงต้องสังเกตให้ดี
ประโยคเล็กที่เป็นประโยคความเดียวนั้น เมื่อแยกออกจากประโยคความรวมแล้ว ก็ยังสื่อความหมายเป็นที่เข้าใจได้

3. ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว ประกอบด้วยประโยคความเดียวที่มีใจความสำคัญ เป็นประโยคหลัก(มุขยประโยค) และมีประโยคความเดียวที่มีใจความเป็นส่วนขยายส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคหลัก เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยคหลัก(อนุประโยค) โดยทำหน้าที่แต่งหรือประกอบประโยคหลัก ประโยคความซ้อนนี้เดิม เรียกว่า สังกรประโยค
อนุประโยคหรือประโยคย่อยมี 3 ชนิด ทำหน้าที่ต่างกัน ดังต่อไปนี้
          3.1 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม (นามานุประโยค) อาจใช้เป็นบทประธานหรือบทกรรม หรือส่วนเติมเต็มก็ได้ ประโยคย่อยนี้เป็นประโยคความเดียวซ้อนอยู่ในประโยคหลักไม่ต้องอาศัยบทเชื่อมหรือคำเชื่อม

ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่เป็นประโยคย่อยทำหน้าที่แทนนาม
คนทำดีย่อมได้รับผลดี
คน...ย่อมได้รับผลดี : ประโยคหลัก
คนทำดี : ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทประธาน

ครูดุนักเรียนไม่ทำการบ้าน
ครูดุนักเรียน : ประโยคหลัก
นักเรียนไม่ทำการบ้าน : ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทกรรม

          3.2 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายประธานหรือบทขยายกรรมหรือบทขยายส่วนเติมเต็ม (คุณานุประโยค) แล้วแต่กรณี มีประพันธ์สรรพนาม (ที่ ซึ่ง อัน ผู้) เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย
ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทขยาย
คนที่ประพฤติดีย่อยมีความเจริญในชีวิต
ที่ประพฤติ ขยายประธาน คน
-
คน...ย่อมมีความเจริญในชีวิต : ประโยคหลัก
-
(คน) ประพฤติดี : ประโยคย่อย

ฉันอาศัยบ้านซึ่งอยู่บนภูเขา
ซึ่งอยู่บนภูเขา ขยายกรรม บ้าน
-
ฉันอาศัยบ้าน : ประโยคหลัก
-
(บ้าน) อยู่บนภูเขา : ประโยคย่อย
           3.3 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายคำกริยา หรือบทขยายคำวิเศษณ์ในประโยคหลัก (วิเศษณานุประโยค) มีคำเชื่อม (เช่น เมื่อ จน เพราะ ตาม ให้ ฯลฯ) ซึ่งเชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย

ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทกริยาหรือบทขยายวิเศษณ์

เขาเรียนเก่งเพราะเขาตั้งใจเรียน
เขาเรียนเก่ง : ประโยคหลัก
(เขา) ตั้งใจเรียน : ประโยคย่อยขยายกริยา

ครูรักศิษย์เหมือนแม่รักลูก
ครูรักศิษย์ : ประโยคหลัก
แม่รักลูก : ประโยคย่อย (ขยายส่วนเติมเต็มของกริยาเหมือน)
หน้าที่ของประโยค
          ประโยคต่างๆ ที่ใช้ในการสื่อสารย่อมแสดงถึงเจตนาของผู้ส่งสาร เช่น บอกกล่าว เสนอแนะ อธิบาย ซักถาม ขอร้อง วิงวอน สั่งห้าม เป็นต้น หากจะแบ่งประโยคตามหน้าที่หรือลักษณะที่ใช้ในการสื่อสาร สามารถแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
          1. การบอกเล่าหรือแจ้งให้ทราบ
เป็นประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าบ่งชี้ให้เห็นว่า ประธานทำกริยา อะไร ที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ เช่น
-
ฉันไปพบเขามาแล้ว
-
เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ
          2. การปฏิเสธ
เป็นประโยคมีเนื้อความปฏิเสธ จะมีคำว่า ไม่ ไม่ได้ หามิได้ มิใช่ ใช่ว่า ประกอบอยู่ด้วยเช่น
-
เรา ไม่ได้ ส่งข่าวถึงกันนานแล้ว
-
นั่น มิใช่ ความผิดของเธอ

          3. การถามให้ตอบ
เป็นประโยคมีเนื้อความเป็นคำถาม จะมีคำว่า หรือ ไหม หรือไม่ ทำไม เมื่อไร ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร อยู่หน้าประโยคหรือท้ายประโยค เช่น
-
เมื่อคืนคุณไป ที่ไหน มา
-
เธอเห็นปากกาของฉันไหม

          4. การบังคับ ขอร้อง และชักชวน
เป็นประโยคที่มีเนื้อความเชิงบังคับ ขอร้อง และชักชวน โดยมีคำอนุภาค หรือ คำเสริมบอกเนื้อความของประโยค เช่น
-
ห้าม เดินลัดสนาม
-
กรุณา พูดเบา



อ้างอิง
พระยาอนุมานราชธน. (2515). การศึกษาวรรณคดีในแง่วรรณศิลป์, กรุงเทพฯ : บรรณาคาร.
พระยาอุปกิตศิลปะสาร. (2514). ชุมนุมนิพนธ์ อ.น.ก. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา.
ราชบัณฑิตยสถาน (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542, กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คพิบลิเคชั่นส์.
http:// blog. Eduzones.com

วลี


วลี

 

วลี  คือ กลุ่มคำที่กล่าวออกมาได้ใจความ แต่ไม่ครบทั้งสองภาค คือ ถ้ามีภาคประธานก็ขาดภาคแสดง
ถ้ามีภาคแสดงก็จะขาดภาคประธาน

วลี มี ๗ ชนิด เหมือนชนิดของคำ สังเกตว่าเป็นวลีชนิดใดได้จาก
คำขึ้นต้นของกลุ่มคำนั้นๆ เช่น
      -นามวลี ขึ้นต้นด้วยคำนาม เช่น โรงเรียนของเรา
      -สรรพนามวลี ขึ้นต้นด้วยสรรพนาม เช่น เขาทั้งหลาย
      -กริยาวลี ขึ้นต้นด้วยคำกริยา เช่น ดีดสีตีเป่า
      -วิเศษณ์วลี ขึ้นต้นด้วยคำวิเศษณ์ เช่น งามเหลือหลาย
      -บุพบทวลี ขึ้นต้นด้วยคำบุพบท เช่น สู่จุดหมายปลายทาง
      -สันธานวลี ขึ้นต้นด้วยคำสันธาน เช่น แต่อย่างไรก็ดี
      -อุทานวลี สังเกตได้จากจะมีคำอุทานต่างๆอยู่ เช่น โอ้ตัวเราเอ๋ย

กลุ่มคำ หรือ วลี หมายถึง การนำคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปมาเรียงกัน มีใจความไม่สมบูรณ์เพราะขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ประธาน หรือ ภาคแสดง จึงไม่ถือเป็นประโยค

กลุ่มคำ หรือ วลี สามารถแบ่งออกได้เป็น ๗ ชนิด ดังนี้
            ๑. นามวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำนาม     เช่น เด็กหลายคน
            ๒. สรรพนามวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำสรรพนาม    เช่น เราทุกคน
            ๓. กริยาวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำกริยา    เช่น ไปแต่เช้าตรู่
            ๔. วิเศษณ์วลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำวิเศษณ์     เช่น งามเหลือหลาย
            ๕. บุพบทวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำบุพบท     เช่น หน้าบ้าน
            ๖. สันธานวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำสันธาน    เช่น เพราะเหตุนี้
            ๗. อุทานวลี คือ กลุ่มคำที่นำหน้าด้วยคำอุทาน      เช่น ว้าย คุณพระช่วย