๑. ร่ายยาว
การแต่งร่ายยาว
ต้องรู้จัก เลือกใช้ ถ้อยคำ และสัมผัสใน ให้มีจังหวะ รับกันสละสลวย เมื่ออ่านแล้ว ให้เกิด ความรู้สึก
มีคลื่นเสียง เป็นจังหวะๆ อย่างที่เรียกว่า
"เสียงดิ้น" หรือ "เสียงมีชีวิต" และจำนวนคำ ที่ใช้
ในวรรคหนึ่ง ก็ไม่ควรให้ยาว เกินกว่าช่วง ระยะหายใจ ครั้งหนึ่งๆ
คือ ควรให้อ่าน ได้ตลอดวรรค แล้วหยุดหายใจได้
โดยไม่ขาดจังหวะ ดูตัวอย่างได้ ในหนังสือ เวสสันดรชาดก ร่ายยาวนี้ ใช้แต่งเทศน์ หรือบทสวด ที่ต้องว่า เป็นทำนอง
เช่น เทศน์มหาชาติ และเทศน์ธรรมวัตร เป็นต้น
เมื่อจบความ ตอนหนึ่งๆ มักลงท้ายด้วย คำว่า นั้นแล นั้นเถิด นี้แล ฉะนี้แล ด้วยประการฉะนี้ คำนั้นแล นิยมใช้เมื่อ
สุดกระแสความตอนหนึ่งๆ หรือจบเรื่อง เมื่อลง นั้นแล ครั้งหนึ่ง เรียกว่า "แหล่"
หนึ่ง ซึ่งเรียกย่อ มาจากคำ นั้นแล นั่นเอง เพราะเวลาทำนอง จะได้ยินเสียง นั้นแล เป็น นั้นแหล่
กฏ:
บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ มักจะมีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป ก็ไม่กำหนดตายตัวแน่นอน จะมีกี่คำก็ได้แล้วแต่จะเห็นเหมาะมักอยู่ระหว่าง 8-13 คำ
คำสุดท้ายของวรรคต้น จะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อไป คำใดก็ได้ยกเว้นคำแรกและคำสุดท้าย
ซึ่งไม่นิยมรับสัมผัส ส่วนการส่งและการรับด้วยเอกโท
อย่างร่ายที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ถือเป็นระเบียบเคร่งครัดนักการแต่งร่ายยาวผู้แต่งจะต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ และสัมผัสในให้มีจังหวะรับกันอย่างสละสลวยและจำนวนคำที่ใช้ในวรรคหนึ่งๆก็ไม่ควรยาวเกินกว่าช่วงระยะหายใจครั้งหนึ่งๆ
๒. ร่ายโบราณ
ร่าย เป็นชื่อของคำประพันธ์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่า
จะต้องมีบท หรือบาท เท่านั้น
เท่านี้ จะแต่งให้ยาวเท่าไรก็ได้ เป็นแต่ต้อง เรียงคำ ให้คล้องจองกัน ตามข้อบังคับ เท่านั้น ลักษณะบังคับต่างๆ
ใช้อย่างเดียวกับ โคลง ๒ และโคลง ๓ คำร่าย "ร่าย" แปลว่า อ่าน เสก หรือ เดิน
๓. ร่ายดั้น
ร่ายดั้น ปรากฏครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
ในวรรณคดีเรื่องลิลิตยวนพ่าย ทวาทศมาส
กำสรวลโคลงดั้น แล้วต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
มีในนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย และลิลิต
นารายณ์สิบปาง
๑. คณะ ร่ายดั้น ๑ บทมี ตั้งแต่ ๕ วรรค ขึ้นไป ( ๔
วรรคสุดท้ายคือสองบาทท้ายของโคลงดั้น)
วรรคหนึ่งมีตั้งแต่ ๓ คำ ถึง ๘ คำ ลงท้ายด้วยบาทที่ ๓ และบาทที่ ๔ ของโคลงสี่ดั้น
๒. สัมผัส มีสัมผัสส่งและสัมผัสรับเช่นเดียวกับร่ายสุภาพ แต่เนื่องจากจำนวนคำในแต่ละวรรค
ไม่แน่นอน สัมผัสจึงต้องเลื่อนตามจำนวนคำด้วย กล่าวคือ
ถ้ามีวรรคละ ๓-๔ คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ ๑-๒
ถ้ามีวรรคละ ๕ คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ ๑-๒
ถ้ามีวรรคละ ๖ คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ ๑-๔
ถ้ามีวรรคละ ๗-๘ คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ ๑-๕
๓ คำสร้อย เช่นเดียวกับร่ายสุภาพ คือเติมได้ ๒ คำท้ายบท
หรือเติมสร้อยระหว่างวรรคก็ได้
๔. ร่ายสุภาพ ปรากฏครั้งแรกในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ
๑. คณะ ร่ายสุภาพ ๑ บท มี ตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่งมี ๕ คำ
บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้
แต่เมื่อลงท้ายต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพ
๒.สัมผัส มีสัมผัสจากวรรคหน้าไปยังสัมผัสรับในคำที่ ๑ ,๒,หรือ ๓ ของวรรคต่อไป วรรคที่อยู่
ข้างหน้าของ ๓ วรรคสุดท้าย จะส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑,๒ หรือ๓ ของบาทต้นในโคลงสองสุภาพ
๓. คำสร้อย เติมได้ ๒ คำ ท้ายบท เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ
ฉันทลักษณ์
๑. ร่ายยาว
ร่ายยาว คือ ร่ายที่ไม่กำหนดจำนวนคำในวรรคหนึ่ง ๆ
แต่ละวรรคจึงอาจมีคำน้อยมากแตกต่างกันไป การสัมผัส
คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำหนึ่งคำใดในวรรคถัดไป
จะแต่งสั้นยาวเท่าไรเมื่อจบนิยมลงท้ายด้วยคำว่า แล้วแล นั้นแล นี้เถิด โน้นเถิด
ฉะนี้ ฉะนั้น ฯลฯ เป็นต้น
|
ตัวอย่าง โพธิสตฺโต สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์
อันสร้างสมดึงส์ปรมัตถบารมี เมื่อจะรับวโรรัตนเรืองศรีแปดประการ
แด่สำนักนิท้าวมัฆวานเทเวศร์ ก็ทูลแก่ท้าวสหัสเนตรฉะนี้
|
|
กาพย์มหาชาติ สักรบรรพ
|
ร่ายโบราณ คือ
ร่ายที่กำหนดให้วรรคหนึ่งมีคำห้าคำเป็นหลัก บทหนึ่งต้องแต่งให้มากกว่าห้าวรรคขึ้นไป
การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำที่หนึ่ง สอง หรือสาม
คำใดคำหนึ่งของวรรคถัดไป และยังกำหนดอีกว่า หากส่งด้วยคำเอก ต้องสัมผัสด้วยคำเอก
คำโทก็ด้วยคำโท คำตายก็ด้วยคำตาย ในการจบบทนั้น ห้ามไม่ให้ใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์ประสมอยู่เป็นคำจบบท
อาจจบด้วยถ้อยคำ และอาจแต่งให้มีสร้อยสลับวรรคก็ได้
|
ตัวอย่าง ...พระบาทเสด็จ บ มิช้า พลหัวหน้าพะกัน
แกว่งตาวฟันฉฉาด แกว่งดาบฟาดฉฉัด ซ้องหอกซัดยยุ่ง ซ้องหอกพุ่งยย้าย ข้างซ้ายรบ บ
มิคลา ข้างขวารบ บ มิแคล้ว แกล้วแลแกล้วชิงข้า กล้าแลกกล้าชิงขัน
รุมกันพุ่งกันแทง เข้าต่อแย้งต่อยุทธ์ โห่อึงอุดเอาชัย เสียงปืนไฟกึกก้อง
สะเทือนท้องพสุธา หน้าไม้ดาปืนดาษ ธนูสาดศรแผลง แข็งต่อแข็งง่าง้าง
ช้างพะช้างชนกัน ม้าผกผันคลุกเคล้า เข้ารุกรวนทวนแทง รแรงเร่งมาหนา
ถึงพิมพิสารครราช พระบาทขาดคอช้าง ขุนพลคว้างขวางรบ กันพระศพกษัตริย์
หนีเมื้อเมืองท่านไท้ ครั้นพระศพเข้าได้ ลั่นเขื่อนให้หับทวาร ท่านนา
ตัวอย่างแบบมีสร้อยสลับวรรค เจ้าเผือเหลือแผ่นดิน นะพี่ หลากระบิลในแหล่งหล้า นะพี่ บอกแล้วจะไว้หน้าแห่งใด นะพี่ ความอายใครช่วยได้ นะพี่ อายแก่คนไสร้ท่านหัว นะพี่ แหนงตัวตายดีกว่า นะพี่ สองพี่อย่าถามเผือ นะพี่ เจ็บเผื่อเหลือแห่งพร้อง โอเอ็นดูรักน้อง
อย่าซ้ำจำตาย หนึ่งรา.
|
|
๓. ร่ายดั้น
ร่ายดั้น คือ
ร่ายที่กำหนดคำในวรรคและการสัมผัสเหมือนร่ายโบราณ แต่ไม่เคร่งเรื่องการรับสัมผัสระหว่างชนิดคำ
คือ คำเอกไม่จำเป็นต้องรับด้วยคำเอก เป็นต้น ส่วนการจบบท
ใช้บาทที่สามและสี่ของโคลงดั้นมาปิดท้ายบท และอาจแต่งให้มีคำสร้อยสลับวรรคก็ได้
ตัวอย่าง ศรีสุนทรประฌาม งามด้วยเบญจพิธ
องค์ประดิษฐ์อุตดม อัญขยมประจงถวาย พร้อมด้วยกายวาจาจิต...มวลมารพ่ายแพ้สูญ
สิ้นเสร็จ ทรงพระคุณล้ำล้น เลิศครู
|
||
๔. ร่ายสุภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น