ลิลิต
ลิลิต หมายถึง หนังสือที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท โคลง และร่าย สลับกันเป็นช่วงๆ ตามธรรมเนียมแล้ว
มักจะใช้โคลงและร่ายในแบบเดียวกัน กล่าวคือ โคลงดั้น สลับกับร่ายดั้น, โคลงสุภาพ สลับกับร่ายสุภาพ อย่างนี้เป็นต้น โคลงและร่ายที่สลับกันนั้น
มักจะร้อยสัมผัสด้วยกัน เรียกว่า "เข้าลิลิต"
วรรณคดีที่แต่งตามแบบแผนลิลิต
มักจะใช้ร่ายและโคลงสลับกันเป็นช่วงๆ ตามจังหวะ ลีลา และท่วงทำนอง
และความเหมาะสมของเนื้อหาในช่วงนั้นๆ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่า
ลิลิตคือคำประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งใช้โคลงและร่ายต่อสัมผัสกัน อุทัย สินธุสาร ได้กล่าวไว้ว่า ลิลิต คือ
คำประพันธ์ที่ประกอบด้วยร่ายและโคลง แต่งสลับกันไปเป็นเรื่องยาว
โดยทั่วไปคำประพันธ์ที่ขึ้นต้นด้วยลิลิตเป็นร่าย(เว้นร่ายยาว) ลักษณะสำคัญของลิลิตอีกอย่างหนึ่งคือ
การทอดสัมผัสระหว่างบทสุดท้ายของร่ายก็ดี โคลงก็ดี
ทอดสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไปเสมอ
ลิลิตจึงมีสายแห่งการสัมผัสต่อเนื่องกันตลอดเรื่อง ลิลิต คือ กวีนิพนธ์ที่มีเนื้อเรื่องยาวๆ
ซึ่งแต่งเป็นร่ายและโคลงสลับกันไปทั้งร่ายและโคลงเหล่านั้นจะต้องมีสัมผัสเกี่ยวข้องกัน
ในระหว่างบทกับต้นบท ตั้งแต่ต้นจนจบคือ ต้องทำให้คำสุดท้ายของบทหน้า
สัมผัสกับคำที่ 1 ที่ 2 หรือที่
3 ในวรรคต้นของบทต่อไปยกเว้นบทไหว้ครู
ซึ่งอาจจะไม่มีสัมผัสกับบทอื่นก็ได้ เราสามารถแบ่งลิลิตได้แก่ ดังนี้
ลิลิตโบราณ
เช่น
โอมบรเมศวราย ผายผาหลวงอคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก
เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่น ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง
แกว่งเพชรกล้า ฆ่าภิญจัญไร (แทงพระแสงศรอดนิวาด)
โอมไชยะไช ไขโสพิศพรหมญาณ บานเศียรเกล้า
เจ้าคลี่บัวทอง
ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินฟ้า หน้าจตุรทิศ ไทมิตรดา หมากฤตราไตย
อมไตยโลเกษ จงตรีศักดิท่าน หิญาณปรมาธิเบศ ไทธเรศสุริสิทธิพ่อ
เสวยพรหมานทรใช่น้อย ประนมบุญภารดิเรก บูรภพรู้กี่ร้อยต่อมา
(แทงพระแสงศรพรหมมาศ)
นานาอเนกด้าว เดิมกัลป์
จักร่ำจักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึงตะวันเจ็ด อันพลุ่ง
อันพลุ่งน้ำแล้วไข้ ขอดหาย
เจ็ดปลามันพลุ่งวาบ เป็นไฟ
วาบจตุราบาย แผ่นขว้ำ
แผ่นขว้ำชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า
เป็นเผ้าแลบล้ำ ลีลอง
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
ลิลิตโบราณประกอบด้วยร่ายโบราณ
และโคลงโบราณแต่งปนกันในเรื่องเดียวกัน โดยจะแต่งร่ายหลายบท
หรือแต่งสลับกันอย่างละบทก็ได้ ส่วนมากจะเป็นร่ายหนึ่งบท ยาวบ้างสั้นบ้าง
แล้วแต่งเป็นโคลงหลายๆบทต่อเนื่องกันไป มีสัมผัสส่งและรับกันทุกบท การขึ้นต้นเรื่องนิยมเป็นบทไหว้ครู
บทสรรเสริญเทพยดา หรือบทยอพระเกียรติ
ลิลิตดั้น
เช่น
ศรีสิทธิสวัสดิ์ ชยัศดุมงคล วิมลวิบูลย์ อดูลยาดิเรก เอกภูธรกรกช
ทศนัยสมุชลิต ดำรงกษัตร ให้กรสานต ประหารทุกขให้กษย
ขยเกษตรให้เกษม เปรมใจราษฏร กำจรยศโยค ดิลกโลกอาศรย ชยชยนฤเบนทรา
ทรงเดช ภาลงดินฟ้าฟุ้ง ข่าวขจร
พรหมพิษณุปรเมศเจ้า จอมเมรุมาศเฮย
ยํ เมศมารุตอร อาศนม้า
พรุณคนิกุเพนทรา สูรยเสพย
เรืองรวีวรจ้าจ้า แจ่มจันทร
เอกาทศเทพแสร้ง เอาองค์
เป็นพระศรีสรรเพชญ ที่อ้าง
พระเสด็จดำรงรักษ์ เลี้ยงโลกย
ไว้แฮ
ทุกเทพทุกท้าวข้าง ช่วยไชย
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
ลิลิตดั้นประกอบด้วยร่ายดั้นและโคลงดั้นแต่งปนกันไป อาจจะแต่งร่ายกี่บทหรือโคลงกี่บทติดต่อกันก็ได้ บางตอนอาจจะแต่งเป็นระเบียบ ซึ่งเริ่มต้นด้วยร่ายดั้น เป็นโคลงสองดั้น
โคลงสามดั้น และโคลงสี่ดั้นตามลำดับกลับมาเริ่มต้นร่ายดั้นใหม่เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ลิลิตสุภาพ
เช่น
ชมข่าวสองพี่น้อง ต้องหฤทัยจอมราช พระบาทธให้รางวัล
พันผ้าเสื้อสนอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าวโฉมโอ่อ้า ถนัดดั่งเรียมเห็นหน้า
หนุ่มต้องจิตใจ บารนี
ฉันใดกูจักได้ สมพระนุชน้องได้
อ่อนท้าวทั้งสอง
ท้าวธจำนองโคลงอ้าง โคลงบพิตรเจ้าช้าง
ชื่อแท้ใดเทียม
เรียมฟังสารอ่านอ้าง อันผจง
กล่าวนา
ถนัดดั่งเรียมเห็นองค์ อะเคื้อ
สองศรีสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย
นอนแนบสองข้างเนื้อ แนบเนื้อชมเชย
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
ลิลิตสุภาพประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ
แต่งในเรื่องเดียวกัน อาจแต่งร่ายหลายบท
โคลงหลายบทติดต่อกันได้หรือแต่งร่ายและโคลงสลับกันไป
ประวัติ
ความเป็นมาของลิลิต ไม่ปรากฏแน่ชัด
โดยสืบค้นได้เก่าสุดถึงสมัยอยุธยา ได้แก่ ลิลิตยวนพ่าย และลิลิตพระลอ (สำหรับอายุของลิลิตพระลอยังเป็นที่ถกเถียง
ยังไม่ยุติ) แต่ถ้าจะนับอย่างธรรมเนียมลิลิตแล้ว น่าจะมีเพียงลิลิตพระลอ
เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เนื่องจากในยวนพ่ายนั้น มีร่ายนำ 1 บท
แล้วมีร่ายแทรกตอนปลายๆ (ไม่ใช่ท้ายเรื่อง)กลางเรื่องอีก 1 บทเท่านั้น
ส่วนลิลิตพระลอนั้น แต่งด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพอย่างหลากหลาย สลับเป็นช่วงๆ
(โปรดอ่านรายละเอียดในหัวข้อ ลิลิตพระลอ) มีทั้งโคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ นอกจากนี้ยังมีร่ายสอดสร้อยอีกด้วย
สำหรับโองการแช่งน้ำ แม้จะเคยเรียกกันว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำ
มาก่อน แต่ในภายหลัง นักวรรณคดีส่วนใหญ่สมัครใจที่จะเรียกชื่อโดยไม่มีคำว่าลิลิต
ทั้งๆ ที่ในโองการแช่งน้ำ ก็แต่งด้วยร่ายสลับโคลง ทว่าเป็นร่ายโบราณ
สลับกับโคลงห้า ซึ่งไม่ปรากฏแบบแผนที่ไหนมาก่อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า นิราศคำโคลง หรือที่เรียกชื่อขึ้นต้นด้วย
"โคลงนิราศ" ในสมัยส่วนใหญ่ จะขึ้นต้นด้วยร่ายนำ 1 บทเสมอ เช่น นิราศนรินทร์ นิราศพระยาตรัง โคลงทวาทศมาส แต่มิได้เรียกว่าลิลิตแต่อย่างใด
วรรณคดีที่เรียกว่าลิลิตจำนวนหนึ่ง
จึงเป็นเพียงวรรณกรรม คำโคลง ที่มีร่ายนำเท่านั้น นอกจากลิลิตยวนพ่ายแล้ว ยังมีลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง มีร่ายนำเพียงหนึ่งบท
ลิลิตเป็นแบบแผนคำประพันธ์ที่มีผู้นิยมแต่งเสมอมา
แม้จนปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเปลี่ยนลีลาอารมณ์ของบทร้อยกรองได้ อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันการส่งสัมผัสระหว่างบท หรือ "เข้าลิลิต"
นั้นไม่ถือเคร่งครัดนัก
ลิลิตในสมัยต่างๆ
สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
-ลิลิตกระบวนแห่พยุหยาตราทางชลมารคและถลคมารค
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
-ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตรา
ทั้งทางสถลมารค แลชลมารค - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
-ลิลิตยอพระเกียรติ
แล โคลงพระนามพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 4 - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
-ลิลิตพระฦๅ
- พระราชครูพิเชต (กลัด)
-ลิลิตพงศาวดารเหนือ
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
-ลิลิตตำรานพรัตน์
- หลวงนรินทราภรณ์
-ลิลิตทักษาพยากรณ์
- สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี
-ลิลิตพายัพ
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
-ลิลิตหิโตปเทศ
- พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (หนู อิศรางกูร ณ กรุงเทพ)
-ลิลิตรามเกียรติ์
ตอนนางลอย - ฟุ้ง ฤทธาคนี
-ลิลิตอิหร่านราชธรรม
- มนตรี ตราโมท
-ลิลิตหล้ากำสรวล
- กานติ ณ ศรัทธา
-ลิลิตภควตี
- วันเพ็ญ เซ็นตระกูล ,และ
ฯลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น